เบอร์ทรานซิสเตอร์ที่ใช้กับวงจรขยายเสียง Transistor for Audio power Amplifier

Transistor   for    Audio   power   Amplifier

รวมเบอร์ทรานซิสเตอร์ที่ใช้กับวงจรขยายเสียงทรานซิสเตอร์  ( Audio amplifier Transistor )  เป็นทรานซิสเตอร์ตัวใหญ่มี   3  ขา และเป็นพาวเวอร์ทรานซิสเตอร์คู่แมทใช้ขยายสัญญาณย่านความถี่เสียง   ตัวถังเป็นแบบ TO-3 หรือจานบิน ( เคสโลหะ)  และเป็นเคส  TO-220 (เคสพลาสติกสีดำ) หรือลักษณะที่คล้ายกัน  แสดงวัตต์ กระแส และแรงดันของทรานซิสเตอร์ให้เปรียบเทียบ  



เบอร์ทรานซิสเตอร์    Transistor  part nubmer   Audio power Amplifier




 Transistor   part  nubmer   Audio  power  Amplifier

เบอร์ ทรานซิสเตอร์ใช้กับวงจรขยายเสียง  ( Audio amplifier Transistor )

1)    BD911   complementary   to   BD912
BD911  NPN  15A   100V   90W    TO-220     
BD912  PNP  15A   100V   90W    TO-220

2)   2N3055    complementary   to     MJ2955
2N3055   NPN   15A   60V   115W    TO-3   ทรานซิสเตอร์จานบิน
MJ2955   PNP   15A   60V   115W    TO-3   ทรานซิสเตอร์จานบิน

3)    2N3773    NPN    16 A   140V   150W     Audio Amplifier Output   ทรานซิสเตอร์จานบิน
4)    2N6609   NPN     16A    140V   150W   TO-3   ทรานซิสเตอร์จานบิน   Hihg Power Audio

5)  MJ15003   complementary   to  MJ15004
MJ15003    NPN    20A    140V   250W  Power  Bass  Power  Transistor for  High Power Audio  TO-3   ทรานซิสเตอร์จานบิน 
MJ15004    PNP    20A    140V   250W  Power  Bass  Power  Transistor for  High Power Audio  TO-3   ทรานซิสเตอร์จานบิน 

6)   TIP35C   complementary   to    TIP36C
TIP35C    NPN    25A   100V    125W   power    and Switching    TO-218-3
TIP36C    PNP    25A   100V    125W   power amplifier and Switching    TO-218-3

7)  TIP3055   complementary   to     TIP2955
 TIP3055    NPN   15A   60V    90W      TO218AC 
 TIP2955    PNP     15A   60V   90W     TO218AC

8)  MJ15015    complementary   to   MJ15016    
MJ15015    NPN    15A   120V   180W  High power Audio  TO-3   ทรานซิสเตอร์จานบิน 
MJ15016    PNP    15A   120V   180W  High power Audio  TO-3   ทรานซิสเตอร์จานบิน 

9)  2SK1058  complementary   to    2SJ162
2SK1058   N   channel  MOSFET      7A    160V    100W  TO-3P   Low frequency power Amplifier  , Audio power Amplifier.
2SJ162      P   channel  MOSFET      7A    160V    100W  TO-3P   Low frequency power Amplifier  , Audio power Amplifier.

10)   MJL15024  complementary   to   MJL15025
MJL15024    NPN   16A   250V   250W   TO-3   High  Power  Audio    ทรานซิสเตอร์จานบิน 
MJL15025    PNP   16A   250V   250W   TO-3   High  Power  Audio    ทรานซิสเตอร์จานบิน 

11)   MJ15022   complementary   to  MJ15023
MJ15022   NPN   16A   200V   250W   TO-3   High  Power  Audio    ทรานซิสเตอร์จานบิน 
MJ15023   PNP   16A   200V   250W   TO-3   High  Power  Audio    ทรานซิสเตอร์จานบิน 

12)   MJL21194  complementary   to  MJL21193     
MJL21194   NPN  16A   250V  200W  TO-264    high power audio output
MJL21193   PNP  16A   250V  200W  TO-264    high power audio output

13)    MJW3281A   complementary   to   MJW1302A
MJW3281A    NPN  15A  230V   200W     TO−247    High power  Audio 
 MJW1302A   PNP   15A  230V  200W     TO−247    High power  Audio 

14)   2SC5200   complementary   to     2SA1943 
2SC5200   NPN   15A   230V   100W  High Fidelity  Audio Amplifier output 
2SA1943   PNP   15A   230V   100W  High Fidelity  Audio Amplifier output    TO-3PL

15)   TTC5200    complementary   to   TTA1943    
 TTC5200     NPN   15A  230V      100W  TO-3PL    High Fidelity  Audio Amplifier output 
 TTA1943      PNP  15A   230V      100W  TO-3PL    High Fidelity  Audio Amplifier output 

16)    TIP3055   complementary to TIP2955
TIP3055     NPN  15A   60V     90W    TO-247   Audio Amplifier
TIP2955     PNP  15A   60V     90W    TO-247   Audio Amplifier

17)   BD139  complementary to    BD140
BD139   NPN  1.5A  80V    1.25W      TO-126     Medium Power   audio amplifiers and drivers
BD140   PNP  1.5A  80V    1.25W      TO-126     Medium Power   audio amplifiers and drivers

18)    BD135  complementary to    BD136
BD135    NPN    1.5A   45V     1.25 W   TO-126     Meduim Power   audio amplifiers and drivers
BD136    PNP    1.5A   45V     1.25 W   TO-126     Meduim Power   audio amplifiers and drivers

19)    BD137  complementary to    BD138
BD137    NPN    1.5A   60V     1.25 W   TO-126     Meduim Power   audio amplifiers and drivers
BD138    PNP    1.5A   60V     1.25 W   TO-126     Meduim Power   audio amplifiers and drivers

20)   KSD882   complement to  KSB772YSTU
 KSD882     NPN    3A   30V    1 W   TO-126-3  Small Signal  BJT , audio  amplifier
 KSB772YSTU    PNP  3A   30V    1 W   TO-126-3  Small Signal  BJT , audio  amplifier


 
Transistor  part  number




20   เรื่องน่ารู้    การเทียบเบอร์  อะไหล่อิเล็กทรอนิกส์   
                       รวมไว้ที่นี้         >  อ่านที่เว็บนี้  

      

เรียนรู้     เบอร์     อะไหล่อิเล็กทรอนิกส์
เพื่อสังเกตว่าเบอร์ขึ้นต้นแบบนี้เป็นอุปกรณ์ชนิดอะไร     ?    
โดยจัดเป็นหมวดหมู่  แบ่งเป็นหมวดหมู่  เช่น  ไดโอด  มี  17  เรื่องให้อ่าน  เป็นต้น

เลือกอ่าน    หัวข้อต่อไปนี้ ................

1)  ไดโอด (17)    มี  17  เรื่อง 


3)  อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (30)   มี   30 เรื่อง

การหาค่า c ที่ใช้แทนกันได้ การเลือกใช้คาปาซิเตอร์หรือตัวเก็บประจุแต่ละชนิดในการออกแบบวงจรอิเล็กทรอนิกส์และงานซ่อม

 การเลือกใช้คาปาซิเตอร์ และ  C ที่ใช้แทนกันได้


การเลือกใช้คาปาซิเตอร์ ตัวเก็บประจุ  Capacitor



การเลือกใช้คาปาซิเตอร์ต้องพิจารณาค่าอะไรบ้าง  ?  เราทราบแล้วว่าตัวเก็บประจุมีหลายชนิดแต่ละชนิดมีข้อดีข้อเสียไม่เหมือนกันดังนั้นตัวเก็บประจุ 1 ชนิดจึงไม่สามารถนำไปใช้ได้ทุกวงจร   ในทางปฏิบัติแล้วประเภทของวงจรจะเป็นสิ่งที่กำหนดคุณสมบัติหรือเลือกชนิดของตัวเก็บประจุ  ให้ทำเช็คลิสและทำเป็นตารางเช็คลิสเพื่อเลือกและกำหนดคุณสมบัติของ C ที่ต้องการ  สิ่งที่ทำให้ตัวเก็บประจุเสียคือแรงดันไฟเกิน แรงดันเสิร์จ  กระแสริบเปิ้ล กระแสพุ่ง ความร้อนภายในจากการสูญเสียที่เนื่องมาจากความต้านทาน  ESR (  Equivalent Series Resistance )   และอุณหภูมิแวดล้อม   ให้เช็คว่าวงจรมีสิ่งเหล่านี้ที่ทำให้คาปาซิเตอร์เสียเร็วหรือเร่งอายุการใช้งานของ C ให้สัั้นลงหรือไม่ ?  ถ้ามีต้องหาทางป้องกันหรือลดความรุนแรงของปัจจัยเร่งให้เสื่อมเหล่านี้ 


คาปาซิเตอร์ ตัวเก็บประจุ  Capacitor



-------------------------------------------------------------

เรียนรู้เบอร์อะไหล่อิเล็กฯ   เพื่อสังเกตว่าเบอร์ขึ้นต้นแบบนี้เป็นอุปกรณ์ชนิดอะไร    ?    
โดยจัดเป็นหมวดหมู่   แบ่งเป็นหมวดหมู่   เช่น  ไดโอด  มี  17  เรื่องให้อ่าน  เป็นต้น

เลือกหัวข้อต่อไปนี้ ................

1)  ไดโอด (17)       มี   17  เรื่อง 


3)  อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (30)     มี   30 เรื่อง

---------------------------------------------------------------


การเลือกใช้คาปาซิเตอร์ต้องพิจารณาค่าอะไรบ้าง   ?

1)   แรงดันไฟฟ้าที่ทนได้  ระบุค่าแรงดันไฟฟ้าของวงจรออกมา จากนั้นเลือกใช้ค่าแรงดันไฟฟ้าที่สูงกว่า 1.5 - 2 เท่า เช่น แรงดันไฟของวงจรคือ  24VDC  ต้องใช้คาปาซิเตอร์ที่ทนได้  24VDC x  2 เท่า =  48VDC  ค่าแรงดันมาตรฐานของ C คือ  50VDC  ดังนั้นเลือกใช้  50VDC  แรงดันไฟฟ้าเป็นสาเหตุหลักหรือปัจจัยเร่งให้คาปาซิเตอร์เสื่อมอันเนื่องมาจาก Voltage Stress  ต้องเลือกค่าโวลต์ให้สูงไว้เพื่อยืดอายุการใช้งานของ C และของอุปกรณ์โดยรวม   สำหรับบางวงจรเพื่อลดต้นทุนการผลิตจะไม่เผื่อพิกัดทนแรงดันไว้เยอะอาจพิจารณาเลือกใช้คาปาซิเตอร์  60-80% ของค่า Working Voltage ที่ระบุไว้ เช่น C ทนได้ 25VDC  จะได้   25VDCx60% =  15VDC  เลือกใช้กับวงจรที่มีไฟ  12VDC  15VDC หรือ  9VDC ได้  สำหรับงานซ่อมการหาคาปาซิเตอร์มาแทนต้องเลือก C ที่มีค่าโวลต์เท่ากับของเก่าหรือค่ามากกว่าก็ได้ขึ้นอยู่กับอะไหล่ในสต๊อคที่มีให้เลือก

2)   ค่าความจุ  สำหรับการออกแบบวงจรค่าความจุนี้ได้มาจากการคำนวณ  สำหรับงานซ่อมให้ใช้ค่าตามสเปค C ตัวเก่าเนื่องจากค่านี้เขาได้คำนวณไว้แล้วว่าเหมาะกับวงจรนั้นๆ
3)   % คลาดเคลื่อน   ค่า % คลาดเคลื่อนนี้ยิ่งน้อยยิ่งดี ให้พิจารณาเพิ่มว่าค่า  ± %   คลาดเคลื่อน ที่ยอมรับได้และไม่ทำให้วงจรทำงานผิดปกติคือค่ากี่ ± %  และให้พิจารณาในระยะยาวด้วยเมื่อผ่านไป 2  ปี  3 ปี   5 ปี  10 ปี ค่าความจุของ C จะเปลี่ยนไปจากค่าเดิมมากน้อยแค่ไหน ค่าความจุที่เปลี่ยนไปยอมรับได้ที่ค่าเท่าไหร่  เราสามารถกำหนดได้ตั้งแต่ขั้นออกแบบวงจรซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการกำหนดอายุการใช้งานของอุปกรณ์หรือวงจรโดยรวม
4)  อุณหภูมิแวดล้อม  อุณหภูมิเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ C เสื่อมค่า  ค่าความจุลดและค่าความต้านทาน ESR จะมีค่าเพิ่มขึ้น ในการทดสอบและคำนวณอายุการใช้งานของ C  (  Lifetime @ Temp  ,  Endurance (h) ) ในสมการจะใช้อุณหภูมิเป็นตัวหนดอายุการใช้งาน  ยกตัวอย่างการเลือกใช้งาน วงจรมีความร้อนและอยู่ใกล้ความร้อนสูงระดับ  50°C-60°C   ควรเลือกใช้ C ทีทนได้  105°C หรือ 125°C หรือ  155°C จะทำให้ C มีอายุการใช้งานที่นานขึ้น  ( ไม่ควรใช้ C  ทนได้  85°C สำหรับงานที่มีความร้อนในระบบเพราะอายุใช้งานจะสั้น )  ตัวอย่างที่ 2 กรณีเป็นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ทั่วไปมีความร้อนน้อยอุณหภูมิแค่ 30-40C  อาจเลือกใช้ C ทนได้ 85°C  ก็พอหรือถ้ามีงบประมาณและราคา C ไม่ต่างกันมากเลือกใช้ C ทนได้  105°C ก็ดีเพื่อให้ใช้งานในวงจรได้นานๆ



คาปาซิเตอร์ ตัวเก็บประจุ  Capacitor

 C ในโลกความเป็นจริงจะมีค่า R และ ค่า L ก่อตัวมาด้วย อันเนื่องมาจากขาที่เป็นเส้นลวดและวัสดุที่เป็นโลหะ  ,   R  Leakage มาจากระแสรั่วไหลในไดอิเล็กทริก ค่าเหล่านี้จำกัดหรือมีผลต่อการใช้งานที่ความถี่สูง



5)   ความถี่และการสูญเสีย  วงจรอิเล็กทรอนิกส์ทั่วไปอาจไม่ต้องพิจารณาการสูญเสียสามารถใช้ C มาตรฐานได้เลย  แต่ถ้าเป็นวงจรความถี่สูง วงจร RF  วงจรที่ใช้ไฟจากแบตเตอรี่ในการทำงานต้องพิจารณาเรื่องการสูญเสีย   ต้องเลือกใช้ C ที่มีคุณสมบัติ Low  ESR (  Equivalent Series Resistance ) ,  Low Impedance  , มีตัวประกอบคุณภาพสูงๆ ( High Q Factor ) โดย Q = Xc / ESR  ค่า Q เป็นตัวบอกประสิทธิภาพของ C ว่าพลังงานที่เก็บได้กับพลังงานที่สูญเสียภายในอันเนื่องจากค่าตัวต้านทาน ESR มีค่ามากน้อยแค่ไหน  ส่วนกลับของ Q เรียกว่า ตัวประกอบการสูญเสีย ( Dissipation Factor )  ,   DF =  1/Q  ค่านี้ยิ่งน้อยยิ่งดี  ใน Datasheet ของ C จะนิยมระบุค่าตัวประกอบการสูญเสีย Dissipation Factor ( DF)  ว่า  Tangent of loss angle (max.) หรือ   tan δ  

6)  กระแสริบเปิ้ล ( Ripple Current )   กระแสริบเปิ้ลเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้คาปาซิเตอร์ร้อนและเสียเร็วขึ้น กรณีไฟในวงจรเป็นไฟไม่เรียบต้องพิจารณาและคำนวณหาปริมาณกระแสริบเปิ้ลจากนั้นเลือกใช้ C ที่ทนกระแสริบเปิ้ลได้มากกว่าค่าที่คำนวณได้   ยกตัวอย่างจากการคำนวณมีกระแสริบเปิ้ล  2A  ควรเลือกใช้ C  ทีทนกระแสริบเปิ้ลได้ 3A ขึ้นไป  ( เพราะค่า 3A นี้จะนำไปใช้งานจริงที่ค่าไม่เกิน 70% ,  3x70% = 2.1A )  ค่ากระแสริบเปิ้ลของ C จะระบุไว้ใน Datasheet  ตัวอย่างวิธีการคำนวณให้พิมพ์ค้น google ว่า  ripple current capacitor calculator   ตัวเก็บประจุที่ทนกระแสริบเปิ้ลได้สูงมีชนิดอะลูมินัมอิเล็กทรอไลต์คาปาซิเตอร์  ( Aluminum Electrolytic Capacitor )  ตัวเก็บประจุชนิดฟิล์ม  ( Film Capacitor ) และ ตัวเก็บประจุเซรามิค MLCC's   ( multilayer ceramic chip capacitor ) 

7)  ชนิดของคาปาซิเตอร์ นอกจาก C มีขั้วกับไม่มีขั้วแล้วยังต้องพิจารณาเรื่องความเสถียรในระยะยาว อายุการใช้งานและการสูญเสีย ถ้าต้องการค่าความจุสูงๆและราคาไม่แพงด้วย ต้องใช้ Aluminum Electrolytic Capacitor มีให้เลือกใช้จำนวนมากหลายค่าความจุและหลายค่าพิกัดแรงดันไฟ C ชนิดนี้ทนได้ถึง 600VDC อุณหภูมิที่ทนมีให้เลือก  85°C  105°C   125 °C   150°C  ถ้างานเน้นความเสถียรและอายุการใช้งานยาวนานให้พิจารณาตัวเก็บประจุชนิดฟิล์ม  ชนิดแทนทาลัม  และอิเล็กทรอไลต์คาปาซิเตอร์สเปค Long Life  ข้อเสียของ C แทนทาลัมคือทนแรงดันเสิร์จไม่ได้อ่อนไหวต่อการเสียจากแรงดันเสิร์จ สำหรับงานที่เน้นความเสถียร C เซรามิคให้เลือกใช้ชนิด Class 1 ใน Datasheet จะระบุสเปคด้วยคำว่า COG / NPO  วงจรทั่วไปอาจเลือกใช้ C เซรามิคเกรด Class 2 ได้ใน Datasheet จะระบุคำว่า  X7R  X5R  Y5V  ระบุเกรดว่าเป็น Class 2  (  C  เซรามิคเกรด Class 2 ค่าความจุจะเปลี่ยนตามอายุการใช้งานและเสื่อมสภาพตามอุณหภูมิ เสถียรน้อยกว่า Class 1)      ถ้างานที่มีกระแสริบเปิ้ลสูงมาเกี่ยวข้องให้พิจารณาเลือกใช้ อะลูมินัมอิเล็กทรอไลต์คาปาซิเตอร์   ตัวเก็บประจุชนิดฟิล์ม   และ ตัวเก็บประจุเซรามิคชนิด MLCC's   งานที่มีพื้นที่กำจัดให้พิจารณาใช้ C  SMD
8)   ประเภทวงจร เช่น   วงจรขยายสัญญาณ  วงจรฟิลเตอร์  วงจรความ RF ความถี่สูง วงจรพาวเวอร์  เป็นต้น   ประเภทวงจรจะเป็นตัวกำหนดเลือกชนิดและคุณสมบัติของ C เช่น   C ฟิลเตอร์ในวงจรเร็คติไฟร์ต้องเป็น C ทีทนกระแสริบเปิ้ลได้สูง   ถ้าเป็นงานสวิตช์ชิ่งต้องเป็น C ที่มีค่า Low  Impedance มีความสูญเสียต่ำที่ความถี่สูง    เป็นต้น
9)  ความปลอดภัย  ถ้างานที่เน้นความปลอดภัยให้พิจารณาเลือกใช้ Aluminum   Polymer Capacitor เป็นตัวเก็บประจุที่ซ๊อตแล้วไม่ระเบิด ไม่มีปัญหาเรืองน้ำยาอิเล็กทรอไลต์แห้งเนื่องจากใช้  Polymer เป็นไดอิเล็กทริก  อายุการใช้งานนานกว่า C  อะลูมินัมอิเล็กทรอไลต์คาปาซิเตอร์   สำหรับงานซ่อมวงจรไฟ AC จะมีคาปาซิเตอร์ชนิด X และชนิด Y ต้องใช้ตามชนิดเดิมที่เขาออกแบบไว้เพราะ  C  2 ชนิดนี้มีการทำงานที่ต่างกันและเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางไฟฟ้า  ดูรูป C ชนิด X และ Y ใช้คำค้นใน Google ว่า  "   x and y safety capacitors  " เพื่อดูลักษณะการต่อและความแตกต่างระหว่าง 2 ชนิดนี้

10)  รูปแบบการติดตั้งและขนาดของ C      ขนาดของ C ต้องใส่ได้พอดีกับรู PCB    C มีขายาวจะระบุขนาดในรูปแบบ  Dia x  L   ความโต ( Dia ) ความสูง (H) และระยะห่างระหว่างขา   ส่วนคาปาซิเตอร์ SMD นิยมระบุขนาดเป็นเคสไชต์ ( Case Size )  ยาว x กว้าง x สูง  โดยแต่ละผู้ผลิตอาจมีขนาดแตกต่างกันเล็กน้อยถ้ามีขนาด  Case Size เหมือนกันก็จะใส่ได้พอดี
เช่น  Case Size :  ยาว x กว้าง x สูง(หนา) 

0402    =      1.00mm x 0.50mm x 0.55mm
0603    =      1.60mm x 0.80mm x 0.87mm
0805    =      2.00mm x 1.25mm x1.45mm
1206    =      3.20mm x 1.60mm x 0.88mm
1210    =      3.20mm x 2.50mm x 2.70mm
1808    =      4.50mm x 2.03mmx 2.20mm
1812    =      4.50mm x 3.20mm x 2.00mm
1825    =      4.50mm x 6.40mm x 1.65mm
2220    =      5.70mm x 5.00mm x 1.55mm



20   เรื่องน่ารู้    การเทียบเบอร์  อะไหล่อิเล็กทรอนิกส์   
                       รวมไว้ที่นี้         >  อ่านที่เว็บนี้  

การหาเบอร์แทนไดโอดและการเลือกใช้ไดโอดในการออกแบบวงจร (Diode)

หลักการหาเบอร์แทนไดโอด

หลักการหาเบอร์แทนไดโอดต้องพิจารณาคุณสมบัติหรือค่าทางไฟฟ้าอะไรบ้าง ?  ให้ดูหัวข้อในตารางเพื่อทำเช็คลิลส์และดูการอธิบายคำศัพท์เพิ่มเติมด้านล่าง ใช้ตารางในการเลือกและกรองคุณสมบัติของไดโอด    ค่าทางไฟฟ้าที่สำคัญอันดับแรกคือ ค่าแรงดัน    ค่ากระแส    ความเร็ว ( Speed )  และแรงดันตกคร่อม ( Vf)  ถ้าเป็นไดโอดใช้งานกับสัญญาณขนาดเล็กค่าแรงดันตกคร่อมและความเร็วจะสำคัญมาก
ให้นำเบอร์ไดโอดตัวเก่าค้นหาค่าใน Datasheet และจดค่าที่สำคัญไว้  ค่าทางไฟฟ้าของไดโอดมีทั้งค่าพีค ( Peak )  ค่า RMS และค่าเฉลี่ย ( Average Value )  หลายครั้งมีการละหน่วยไว้ว่าเป็นค่าแบบไหนคนใช้งานต้องเช็คกับ Datasheet เอง   ยกตัวอย่าง  ไดโอดเบอร์  1N4007  นิยมระบุสเปคสั้นๆว่า  1A   1000V    แล้วค่า 1A หมายถึงค่ากระแสแบบไหน ?  ค่าแรงดัน  1000V   เป็นค่าแรงดันไฟฟ้าแบบไหน ?  1A เป็นค่าเฉลี่ยใน Datasheet จะใช้คำว่า Maximum average forward rectified current  หรือ  Average Rectified Output Current : IO    ส่วนแรงดันไฟฟ้า 1000V เป็นค่าพีคซ้ำ ใน Datasheet จะใช้คำว่า  Maximum repetitive peak reverse voltage  ( VRRM ) ใช้แรงดันพัลซ์หลายลูกคลื่นทดสอบ  ( ไดโอดชนิดพิเศษเช่น โฟโต้ไดโอด ทันเนลไดโอด  TVS Diode  และแบบอื่นๆ จะต้องพิจารณาค่าพิเศษอื่นๆด้วยขึ้นอยู่กับชนิดของไดโอด  ซึ่งไม่ได้อธิบายไว้ที่นี้ )



เบอร์แทนไดโอด    Diode


เบอร์แทนไดโอด   ไดโอด  Diode

-------------------------------------------------------------

เรียนรู้เบอร์อะไหล่อิเล็กฯ   เพื่อสังเกตว่าเบอร์ขึ้นต้นแบบนี้เป็นอุปกรณ์ชนิดอะไร  ?    
โดยจัดเป็นหมวดหมู่   แบ่งเป็นหมวดหมู่   เช่น  ไดโอด  มี  17  เรื่องให้อ่าน  เป็นต้น

เลือกหัวข้อต่อไปนี้ ................

1)  ไดโอด (17)       มี  17  เรื่อง 


3)  อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (30)     มี   30 เรื่อง

---------------------------------------------------------------



อธิบายเพิ่มเดิมเพื่อความเข้าใจมากขึ้น

ประเภทวงจรจะเป็นตัวกำหนดคุณสมบัติของไดโอด เมื่อเราทราบชื่อวงจร หลักการทำงาน บางครั้งสามารถสังเกตได้จากสเปคของอุปกรณ์ที่อยู่ใกล้เคียงจะเป็นตัวบ่งชี้ประเภทวงจรได้

-   ประเภทการใช้งาน  เช่น   general purpose rectifier ,  Fast recovery  rectifier  ,  Ultra Fast recovery  rectifier ,  Efficient  Fast recovery   rectifier ,   Low Vf   rectification , High speed ,  Fast Switching , Low leakage , Small Signal ,  Power Diode , RF circuit   เป็นต้น
-   แรงดันย้อนกลับสูงสุด V ( PIV) :  Peak  Inverse  Voltage  เป็นแรงดันไบอัสกลับสูงสุดที่ไดโอดทนได้

-   แรงดันย้อนกลับสูงสุดมีค่าพีคซ้ำ ( VRRM ) : Maximum repetitive peak reverse voltage เป็นแรงดันไบอัสกลับค่าพีคซ้ำที่ไดโอดทนได้ โดยแรงดันที่ใช้ทดสอบไดโอดนี้มีหลายลูกคลื่่นหรือค่าพีคซ้ำ
-   ระดับความเร็ว ระบุหน่วยเป็น  µs (micro sec)  และ ns (nano sec ) ความเร็วมี  ระดับ Standard  ,  Fast  ,  Hyper Fast ,  Ultra Fast , Super Fast

-   Reverse Recovery Time ( trr )   เป็นระยะเวลาที่ไดโอดใช้ในการเปลี่ยนสถานะจาก ON  เป็น  OFF  เปลี่ยนขั้วจากไบอัสตรงเป็นไบอัสกลับ  ไดโอดไม่สามารถเปลี่ยนสถานะได้ทันที่ต้องใช้เวลาระดับ Micro second , nano second ในการเปลี่ยนสถานะอันเนื่องมาจากรอยต่อ PN มีพาหะข้างน้อยและอิเล็กตรอนต้องใช้เวลาในการเคลื่อนที่


Diode replacement   diode  selector



20   เรื่องน่ารู้    การเทียบเบอร์  อะไหล่อิเล็กทรอนิกส์   
                       รวมไว้ที่นี้         >  อ่านที่เว็บนี้  

หลักการเลือกใช้งานตัวต้านทานชนิดต่างๆสำหรับรออกแบบวงจรอิเล็กทรอนิกส์และเลือกตัวต้านทานใช้แทนในงานซ่อม ( Resistor Selection )


Resistor type  ตัวต้านทานชนิดต่างๆ

หลักการเลือกใช้งานตัวต้านทาน

การเลือกใช้ R  มีรายละเอียดหลายข้อที่ต้องพิจารณา  ให้เช็คหัวข้อต่างๆด้านล่างว่าวงจรที่กำลังออกแบบหรือซ่อมอยู่ต้องการ R ที่มีคุณสมบัติอย่างไร   ?  รวบรวมหลักการเลือกใช้งานตัวต้านทานในภาคปฏิบัติสำหรับการออกแบบวงจรอิเล็กทรอนิกส์และหาตัวต้านทานใช้แทนตัวต้านทานเก่าที่ไหม้หรือตัวต้านทานที่เสีย  ในการออกแบบวงจรอิเล็กทรอนิกส์จะเริ่มด้วยคำถามว่าใช้ตัวต้านทานชนิดไหนดี  ?  ส่วนงานซ่อมจะมีคำถามว่าตัวต้านทานตัวนี้ใช้แทนตัวต้านทานเก่าที่ไหม้ได้ไหม ?  เพื่อตอบคำถามนี้จะต้องใช้หัวข้อต่างๆเป็นเช็คลิสเพื่อเลือกชนิดตัวต้านทานที่เหมาะสมกับวงจร   เราทราบแล้วว่าตัวต้านทานมีหลายชนิดแต่ละชนิดมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันดังนั้นตัวต้านทาน 1 ชนิดจึงไม่สามารถนำไปใช้ได้กับทุกวงจร   สิ่งที่จะกำหนดหรือเลือกชนิดของตัวต้านทานคือประเภทของวงจรว่าต้องการ R ที่มีคุณสมบัติเป็นอย่างไรวงจรจึงจะทำงานได้ดีและมีความเสถียร   รวมถึงการทำงานของวงจรมีความเชื่อถื่อได้ในระยะยาวตลอดอายุการใช้งานของอุปกรณ์นั้น  ตัวต้านทานที่มีค่าเสถียรเป็นคุณสมบัติที่วงจรต้องการเพราะมีผลต่อการทำงานที่เชื่อถือได้   ความเชื่อถื่อได้ของวงจรคือทดสอบให้วงจรทำงาน 100 ครั้ง 1000 ครั้งหรือจำนวนมากกว่านี้วงจรต้องทำงานได้ดีเหมือนเดิมและถ้าพิจารณาในระยะยาว  เช่น 2  ปี  3 ปี  5 ปี  10 ปี หรือนานกว่านั้นวงจรยังคงทำงานได้ปกติดีหรือไม่  ?   บางวงจรความผิดพลาดไม่สามารถให้เกิดขึ้นได้เนื่องจากมีความเสียหายตามมา  ถ้าวงจรทำงานผิดปกติจะเกิดผลเสียอะไรตามมา วงจรป้องกันมีการแจ้งเตือนหรือหยุดการทำงานของวงจรอย่างไรเพื่อความปลอดภัย   นอกจากคุณสมบัติของ R แล้วยังมีเรื่องของราคาเข้ามาเกี่ยวข้องในการเลือก R  เพราะปัจจุบันนี้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แข่งขันกันสูงและแข่งขันกันราคาถูก  จึงไม่สามารถเลือกชนิดตัวต้านทานที่ดีที่สุดมาใส่ในวงจรแต่เป็นการเลือกตัวต้านทานที่มีคุณสมบัติดีพอสำหรับวงจรและราคาต้องไม่แพงด้วย การผลิตวงจรในจำนวน 1000 ชุด หลักหมื่นชุดหรือจำนวนมากกว่านี้ ราคาต้นทุนของอุปกรณ์มีผลอย่างมากในการเลือกเพื่อให้สินค้าที่ผลิตขายได้และแข่งขันกับผู้ผลิตรายอื่นๆได้




ตัวต้านทาน Resistor



การวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ( ภาษาอังกฤษ )

Check electronic  devices  with  multimeter   (  English )

บทความภาษาอังกฤษ   อ่านที่ >    https://testmultimeter.com/



Read  here   >    https://testmultimeter.com/





ให้เช็คหัวข้อต่างๆต่อไปนี้ว่าวงจรที่ออกแบบหรือซ่อมอยู่ต้องการ R ที่มีคุณสมบัติอะไรบ้าง  ?

1)  สัญญาณรบกวน ( Noise )  วงจรที่ไวต่อสัญญาณรบกวนเช่น วงจรขยายที่มีอัตราขยายสูง  ( สัญญาณรบกวนจะถูกขยายไปด้วย) วงจรระบบสื่อสาร  วงจรขยายสัญญาณขนาดเล็ก  ( Low level signal)  เป็นต้น วงจรเหล่านี้ต้องใช้ R ที่มีสัญญาณรบกวนต่ำ  ตัวต้านทานที่กำเนิดสัญญาณรบกวนต่ำเรียงจากดีมากไปน้อยเรียงเป็นลำดับคือ  ตัวต้านทานชนิดไวร์วาวด์  ตัวต้านทานชนิด Metal Foil  และตัวต้านทานชนิด Thin  Film    ส่วนตัวต้านทานที่มีสัญญาณรบกวนสูงคือตัวต้านทานชนิดผงคาร์บอน  ตัวต้านทานชนิดคาร์บอนฟิล์ม และตัวต้านทานชนิด Thick Film รวมถึงตัวต้านทานชนิด Metal Oxide Film ก็มีสัญญาณรบกวนสูงกว่าชนิดเมตัลฟิล์ม การติดตั้งอุปกรณ์ก็มีผลต่อสัญญาณรบกวน ควรวางตำเหน่ง  R ให้ห่างจากแหล่งความร้อนเพื่อลดสัญญาณรบกวนชนิด Thermal  Noise เนื่องจากยิ่งอุณหภูมิเพิ่มขึ้น สัญญาณรบกวนชนิด Thermal  Noise จะสูงตามไปด้วย

2)  ความถี่และการตอบสนองความถี่  ตัวต้านทานในโลกแห่งความเป็นจริงจะไม่ใช่ตัวต้านทานที่มีเฉพาะความต้านทานล้วนๆ ( Pure Resistance )  แต่จะมีตัวเหนี่ยวนำแฝงและตัวเก็บประจุแฝงในตัว R ด้วย ยกตัวอย่างให้เห็นภาพตัวต้านทานชนิดไวร์วาวด์ส่วนขาที่เป็นเส้นลวดและขดลวดที่ขดจะก่อตัวเป็นตัวเหนี่ยวนำ และตัวนำ 2 ตัวหรือมากกว่าที่วางไว้ใกล้กันจะก่อตัวเป็นตัวเก็บประจุ   วงจรไฟ DC จะไม่ได้รับผลกระทบแต่วงจรความถี่สูงและวงจรสัญญาณพัลส์จะได้รับผลกระทบ ทำให้รูปคลื่นเพี้ยน เกิดการหน่วงของสัญญาณและเกิดการสูญเสียที่ความถี่สูงตามสมการ  XL =  2πFL ยิ่งความถี่สูงยิ่งเกิดการสูญเสีย   ตัวต้านทานชนิดเมตัลฟิล์มสามารถใช้กับความถี่สูงได้ถึง   100MHz  ขณะที่ตัวต้านทานชนิดคาร์บอนฟิล์ม ตัวต้านทานชนิดไวร์วาวด์มาตรฐาน และตัวต้านทานชนิด Foil ใช้งานกับความถี่สูงไม่ได้เนื่งจากมี   Equivalent series Inductance (ESL) มีค่าสูงระดับ uH   ส่วนตัวต้านทานชนิด Metal Oxide มีค่าระดับ nH และชนิดเมตัลฟิล์มมีค่าน้อยกว่า 2nH ซึ่งชนิดเมตัลฟิล์มนี้ใช้กับความถี่สูงได้ 100MhZ    ตัวต้านทานไวร์วาวด์มาตรฐานใช้กับความถี่ได้สูงสุดแค่ประมาณ  50KHZ ถ้าต้องการใช้งานที่ความถี่สูงกว่านี้ต้องใช้ตัวต้านทานไวร์วาวด์ชนิด NON-Inductive และ Low  Reactance  ซึ่งจะใช้เทคนิคการผลิต /พันเส้นลวดเพื่อให้มีค่า ESL และค่าตัวเก็บประจุแฝง ( Parasitic Capacitance : Cp) ต่ำ  วงจรความถี่สูงและวงจร High speed / Response Time  ต้องพิจารณาเลือกใช้ R ที่สูญเสียน้อยที่สุดและตอบสนองรูปคลื่นสัญญาณไม่เพี้ยน

3)  แรงดัน  ในวงจรอิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่จะใช้ไฟมาตรฐาน 5VDC  9VDC  12VDC  24VDC ค่าทนแรงดันไฟฟ้าจึงไม่ได้พิจารณามากนักเนื่องจากแรงดันในวงจรยังห่างมากจากแรงดันที่ R ทนได้  ส่วนใหญ่ในวงจรอิเล็กทรอนิกส์จะพิจารณาค่าความต้านทานและกำลังไฟฟ้าหรือวัตต์ของ R  เป็นหลัก  กรณีเป็นไฟ AC วงจร Line Protection และแรงดันไฟสูงต้องพิจารณาแรงดันไฟฟ้าด้วยเนื่องจากตัวต้านทานมีค่าแรงดันสูงสุดที่ทนได้ เช่น  ค่า Max. working Voltage , ค่า Max. Overload Volage  และค่า  Dielectric withstand Voltage  ยกตัวอย่างค่าแรงดัน Max. working Voltage  ของตัวต้านทานชนิดเมตัลฟิล์ม  ขนาด 0.25W =  200V  ,  0.5W = 250V  , 1W = 500V  เป็นต้น
จะสังเกตว่าขนาดของ R  และแรงดันไฟฟ้าที่ทนได้จะมีความสัมพันธ์กัน ( ทำนองเดียวกันกับค่าวัตต์ R ตัวใหญ่วัตต์จะสูง)  วงจรส่วนที่เป็นไฟ AC ต้องพิจารณาค่าแรงดันไฟฟ้าที่ R ทนได้ด้วยเพื่อให้อายุการใช้งานของ R ยาวนาน  จากเอกสารของผู้ผลิตตัวต้านทานพบว่าค่าแรงดันต่างๆของ R แต่ละชนิดจะมีค่าไม่เท่ากัน ตัวต้านทานชนิดเมตัลฟิล์มและคาร์บอนฟิล์มมีค่าแรงดันทีทนได้ไม่ต่างกันมากนัก ค่าแรงดันเหล่านี้เช็คได้จาก Datasheet ของ R    ปกติแล้วตัวต้านทานชนิดทนความร้อน ( Metal oxide Film )และตัวต้านทานชนิดไวร์วาวด์จะมีค่าพิกัดทนแรงดันถึง ระดับ  KV  และตัวต้านทานชนิด Thick Film ทนแรงดัน AC ได้ดีจึงนิยมใช้กับวงจรที่เป็นไฟ AC  ส่วนตัวต้านทานชนิด Thin Film ไม่เหมาะกับวงจรไฟ AC 


        เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น พิกัดกำลังไฟฟ้าจะลดลง 


4)  กำลังไฟฟ้าหรือวัตต์   วัตต์ของตัวต้านทานที่ระบุไว้เช่น ค่า 1W มีความหมายว่าที่อุณหภูมิทดสอบ 25 °C  ตัวต้านทานนั้นจะมีค่า 1W
เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นค่าวัตต์นี้จะลดลง  ที่อุณหภูมิประมาณ 70 °C   ค่าวัตต์จะเริ่มลดลง และที่ 100 °C   ค่าวัตต์นี้จะลดลงมากเหลือแค่ประมาณ 0.6 วัตต์   หลักในการเลือกกำลังไฟฟ้าหรือวัตต์ของ R คือเลือกให้สูงกว่าค่าที่คำนวณได้เพื่อยืดอายุการใช้งานของ R  เช่นค่า 1W จะใช้งานจริงแค่ 60-70 %   หรือ  0.6W-0.7W   ห้ามใช้ค่าเกิน 80% เพราะทำให้อายุใช้งานของ R สั้นหรือเสียเร็ว อันเนื่องจากอิทธิพลของอุณหภูมิและแรงดัน ( Voltage Stress ) อธิบายเพิ่มเติม ตามคำนวณต้องใช้ R  1 วัตต์ในการเลือกใช้จริงให้ใช้ค่า 1.5W หรือ  2W   ( 1.5W x 60% = 0.9W )
ใน Datasheet ของ R จะใช้คำว่า Power Derating แปลว่าการลดพิกัดกำลังไฟฟ้าเมื่ออุณภูมิสูงขึ้น 

5)  ค่าความต้านทาน   หาได้จากการคำนวณตามกฏของโอห์ม  R = V/I  อย่าลืมว่าค่าความต้านทานสูงๆจะกำเนิดสัญญาณรบกวนมากกว่าค่าความต้านทานต่ำ ให้พิจารณความเสถียรของค่าความต้านทานนี้ด้วยว่าใน 1 ปี   3  ปี  5 ปี 10 ปี  ค่า R จะเปลี่ยนไปจากค่าเดิมมากแค่ไหนและการเปลี่ยนแปลงความต้านทานนี้ทำให้วงจรทำงานผิดปกติหรือไม่ วงจรที่เน้นความความน่าเชื่อถือสูงและความผิดพลาดยอมรับไม่ได้ ต้องเลือก R ชนิดที่มีค่าเสถียรในระยะยาว  เช่น ตัวต้านทานชนิดเมตัลฟิล์มเที่ยงตรงสูง ( Precision metal Film resistor)   ,  ตัวต้านทานไวร์วาวด์เที่ยงตรงสูง  (มีค่าคลาดเคลื่อนน้อยระดับ  0.1%  0.25%  0.5% )   เป็นต้น

ุ6)  % คลาดเคลื่อน  ค่า % คลาดเคลื่อนของ R มีหลายระดับ  ±0.1%   ±0.25%   ±0.5%  ±1%   ±5%  ±10% และ  ±20%  วงจรที่เน้นค่าไฟต้องนิ่งและตรง  เช่น  วงจร Feedback  วงจรป้องกัน  วงจรเครื่องมือวัด  วงจรกำหนดเวลาและความถี่  เป็นต้นต้องใช้   0.1%  0.25%  0.5%  1% คนออกแบบวงจรเป็นคนเลือกระดับคลาดเคลื่อนที่ยอมรับได้ว่าไม่เกินกี่ % 

7)  อุณหภูมิ  อุณหภูมิทำให้ค่าความต้านทานเปลี่ยนไป  ค่า R จะเปลี่ยนไปมากแค่ไหนขึ้นอยู่กับชนิดของวัสดุที่ใช้ทำ R   ความสัมพันธ์ระหว่างค่าความต้านทานที่เปลี่ยนไปเมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนไปนิยมระบุเป็น ppm / °C   โดย ppm  =  part per million  ค่านี้มีผลต่อความเสถียรของวงจรในระยะยาว ต้องพิจารณาตลอดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ว่าอุณหภูมิทำให้ค่า R เปลี่ยนไปมากแค่ไหนและค่าเท่าไหร่ที่ยอมรับได้  ค่า ppm /  °C  นี้ยิ่งน้อยยิ่งดี  เช่น   ±10ppm/°C   ±15ppm/°C  ±50ppm/°C   ±100ppm/°C  ±200ppm/°C  ±300ppm/°C   ±350ppm/°C  เป็นต้น   เมื่อกระแสไหลผ่านตัวต้านทานจะเกิดความสูญเสียและเกิดความร้อนที่ตัวต้านทาน อุณหภูมิที่แวดล้อมตัวต้านทานมีผลต่อการระบายถ่ายเทความร้อนของ R   อีกประเด็นเรื่องอุณหภูมิที่เกี่ยวข้องกับ R  คือค่าอุณหภูมิสูงสุดที่ R ทนได้ การใช้งานต้องไม่เกินค่าสูงสุดนี้ ตัวต้านทานชนิดไวร์วาวด์และตัวต้านทานชนิด Metal Oxide จะทนความร้อนได้สูงประมาณ  350-450°C ( ขนาดเล็ก 155  °C   )  ตัวต้านทานชนิดเมตัลฟิล์มประมาณ   230°C-300°C หรือบางผู้ผลิต 125°C หรือ 155°C ขึ้นอยู่กับผู้ผลิต  ตัวต้านทานชนิดคาร์บอนฟิล์มประมาณ  155°C    วงจรที่มีความร้อนจะใช้ตัวต้านทานชนิดไวร์วาวด์และตัวต้านทานชนิด Metal Oxide   ตัวต้านทานชนิด Metal Oxide ( นิยมเรียกในตลาดว่าตัวต้านทานทนความร้อน) ซึ่งนิยมใช้งานแทนตัวต้านทานชนิดไวร์วาวด์เนื่องจากเมื่อเทียบราคาต่อวัตต์แล้วมีราคาถูกกว่าเนื่องจากกระบวนการผลิตเป็นแบบฟิล์มซึ่งง่ายกว่าการผลิตแบบไวร์วาวด์

8)  สภาพแวดล้อมของวงจร     อุณหภูมิ ความชื้นและพื้นที่ครอบปิดมีผลต่อการระบายความร้อน สิ่งเหล่านี้ต้องนำมาพิจารณาเพราะมีผลต่อการทำงานของ R  ตัวต้านทานชนิดผงคาร์บอนจะไวต่อความชื้นคือมันดูดซับความซื้น  ตัวต้านทานหลายชนิดหุ้มปิดอย่างดีเพื่อป้องกันชิ้นส่วนด้านในที่เป็นวัสดุกำหนดความต้านทาน  ต้องพิจารณาว่าสภาพแวดล้อมการใช้งานอะไรที่มีผลต่อค่า R มาก จากนั้นหาทางป้องกันไว้ก่อนตั้งแต่ออกแบบวงจร 

9)  เหมาะกับวงจรพัลซ์หรือไม่  ?  กรณีใช้ R กับไฟ รูปคลื่นพัลซ์  ( Repetive Pulse) การคำนวณปริมาณพลังงานความร้อนและกำลังไฟฟ้าต้องได้รับการคำนวณเพื่อให้ไม่เกินค่าที่ R ทนได้ พลังงานจากวงจรพัลซ์จะมากกว่าพลังงานของวงจรทั่วไป    ปกติแล้วตัวต้านทานชนิดผงคาร์บอนและคาร์บอนฟิล์มจะทนพลังงานรูปคลื่นพัลซ์ได้ดีกว่าตัวต้านทานชนิดเมตัลฟิล์ม และตัวต้านทานชนิดไวร์วาวด์และ Metal Oxide ( ตัวต้านทานทนความร้อน)  ทนพลังงานพัลซ์ได้ดีจึงนิยมใช้กับพัลซ์  ต้องพิจารณาลักษณะกระแสและแรงดันว่าเป็นพัลซ์หรือไม่ ? เลือก R ที่มีคุณสมบัติเหมาะกับวงจรพัลซ์ปกติจะระบุคุณสมบัติของ R ไว้ใน Datasheet ว่าเหมาะกับพัลซ์

10 ) ข้อกำหนดอื่นๆตามมาตรฐานกำหนดไว้ หรือคนใช้งานต้องการเป็นพิเศษ  หลังจากพิจารณาตามหลักการเลือกตัวต้านทานทั่วไปแล้ว บางครั้งยังมีข้อกำหนดอื่นๆเพิ่ม   เช่น  ตัวต้านทานเมื่อร้อนสุดๆต้องไม่ลุกเป็นเปลวไฟหรือลามไฟ  ( ปกติคุณบัตินี้ระบุไว้ใน Datasheet )   ความแข็งแรงทางกลของ R   หลักการเกี่ยวกับความปลอดภัย Fail  Safe เมื่อวงจรทำงานผิดปกติต้องไม่มีอันตรายใดๆต่ออุปกรณ์และคนใช้งาน    หลักการเกียวกับ EMI การก่อสัญญาณรบกวนและการทนสัญญาณรบกวน   ทน   ESD ได้    เป็นต้น



20   เรื่องน่ารู้    การเทียบเบอร์  อะไหล่อิเล็กทรอนิกส์   
                       รวมไว้ที่นี้         >  อ่านที่เว็บนี้  



เรียนรู้เบอร์อะไหล่   เพื่อสังเกตว่าเบอร์ขึ้นต้นแบบนี้เป็นอุปกรณ์ชนิดอะไร  ?  
โดยจัดเป็นหมวดหมู่  แบ่งเป็นหมวดหมู่  เช่น  ไดโอด  มี 17  เรื่องให้อ่าน เป็นต้น
เลือก   ดูรายการต่อไปนี้

ไดโอด (17)